May 30, 2024

บทวิเคราะห์ บอลถ้วยวันนี้ ฟุตบอลโลก ยูฟ่าแชมเปี้ยน ยูโรปาลีก

UFA ข่าวสารวงการฟุตบอลวันนี้ ฟุตบอลโลก ฟีฟ่าเวิร์ด์คัพ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยูโรปา ตารางบอลถ้วย โปรแกรมการแข่งขัน เจาะลึกก่อนและหลังเกมพร้อมผลบอล

สิ่งที่อังกฤษเรียนรู้จากยูโร 2020

อังกฤษ พ่ายการดวลจุดโทษให้กับ อิตาลี 2-3 ในนัดชิงดำศึก EUFA EURO 2020 พลาดแชมป์คาสนาม เวมบลีย์ ไปอย่างน่าเสียดาย แต่บางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นทำให้พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบไปสู่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า และนี่คือสิ่งที่ “สิงโตคำราม” ได้เรียนรู้จากยูโรหนนี้
อังกฤษ

ยุโร 2020

ทีมชาติอังกฤษ พ่ายการดวลจุดโทษให้กับ อิตาลี 2-3 ในนัดชิงดำศึก EUFA EURO 2020 พลาดแชมป์คาสนาม เวมบลีย์ ไปอย่างน่าเสียดาย แต่บางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นทำให้พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบไปสู่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า และนี่คือสิ่งที่ “สิงโตคำราม” ได้เรียนรู้จากยูโรหนนี้

ย้อนกลับไปในศึกยูโรปี 2016 ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว แต่ในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาพ่ายให้กับ โปรตุเกส แบบหวุดหวิด 0-1 อดคว้าแชมป์ไปครองอย่างเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม 2 ปีหลังจกนั้น พลพรรค “ตราไก่” คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่

ยูโร

1. ทีมชาติอังกฤษ เมื่อมีโอกาสต้องทำให้ได้

ความจริงในการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ มันถูกกำหนดให้ผู้แพ้ต้องพบกับความเจ็บปวด เสียใจ และท้อแท้ ซึ่ง อังกฤษ ต้องเจอกับความผิดหวังแบบนี้มาหลายปีแล้ว และในเกมล่าสุดกับ อิตาลี พวกเขาเกือบจะทำสำเร็จ

อังกฤษ ได้ประตูขึ้นนำ อิตาลี ไปก่อนจาก ลุค ชอว์ แบ็คซ้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถรักษาความได้เปรียบผลสกอร์ไว้ได้โดยโดนตามตีเสมอจาก เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กองหลังจอมเก๋า ยูเวนตุส และต้องพ่ายการดวลจุดโทษ

แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษพาลูกทีมทำผลงานได้อย่างน่าชื่นชมแล้วในศึกยูโรครั้งนี้ แต่เขามีการบ้านอีกเล็กน้อยที่ต้องนำไปปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมโดยเฉพาะความเขี้ยวในเกม และทีเด็ดทีขาดในการทำประตู

อังกฤษ

2. ขุมกำลังเชิงลึกดีขึ้นกว่าเดิม

อังกฤษ ภายใต้การกุมบังเหียนของ เซาธ์เกต จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอนาคต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ เนื่องจากฝรั่งเศสได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในศึกฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซีย

แฮร์รี เคน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จะยังคงเป็นกำลังหลักในแนวรุกเหมือนเดิม ส่วนนักเตะสายเลือดใหม่อย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด, จาดอน ซานโช่, เมสัน เมาท์ และ บูกาโย่ ซาก้า จะมีประสบการณ์มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างมาก

ขณะที่แนวรับอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์, จอห์น สโตนส์ และนายทวารมือ 1 จอร์แดน พิคฟอร์ด ยังสามารถเป็นกระดูกสันหลังไปได้สบายๆ และในยูโรครั้งนี้พวกเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สามารถรับมือกับแนวรุกระดับโลกได้อย่างไม่มีปัญหา

แผงกองกลางไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยถึงแม้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมมีอายุ 30 ปี แล้ว แต่นักเตะรุ่นน้องอย่าง เดแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ก็พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดจนเป็นกำลังสำคัญเรียบร้อยแล้ว และมีดาวรุ่งอนาคตไกลอย่าง ฟิล โฟเด้น กับ จู๊ด เบลลิ่งแฮม รอจ่อคิวตามมาติดๆ

ความแข็งแกร่งในขุมกำลังของอังกฤษนั้น ทำให้ จอร์โจ้ คิเอลลินี เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติอิตาลถึงขนาดออกมากล่าวว่า “ผมมองไปที่ม้านั่งสำรองของอังกฤษ ผมคิดว่า นักเตะสำรองของพวกเขาดีพอที่จะจัดเป็นอีกทีม และผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศด้วยซ้ำ พวกเขามีผู้เล่นที่พิเศษมากๆ”

ทีมชาติอังกฤษ

3. บทเรียนสำคัญ

ความพ่ายแพ้จากศึกยูโร 2020 นั้น เป็นบทเรียนที่สำคัญของอังกฤษอย่างมาก ซึ่งมันสามารถทำให้พวกเขานำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต และอาจทำให้นักเตะ “สิงโตคำราม” มีความแข็งแกร่งทางจิตใจมากยิ่งขึ้น

นักวิเคราะห์หลายคนตั้งคำถามว่า อังกฤษ ใช้พลังงานน้อยเกินหรือไม่ไปในเกมนัดชิงฯกับ อิตาลี แต่มีเพียงแข้ง “สิงโตคำราม” และ เซาธ์เกต เท่านั้นที่รู้ดีว่า พวกเขาใช้แนวทางแบบไหน และควรใช้แท็คติคใดในการเผชิยหน้ากับคู่แข่งระดับโลก

นอกจากนี้ ประสบการณ์ในนัดชิงฯก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งไม่มีนักเตะอังกฤษคนใดเลยที่เคยเล่นในเกมชิงดำระดับนานาชาติ ขณะที่ อิตาลี พวกเขามี 2 หัวใจสำคัญในแนวรับอย่าง คิเอลลินี และ โบนุชชี่ ในนีดชิงฯ ยูโร 2012 ที่พ่ายให้กับ สเปน แบบยับเยิน 0-4

ทีมชาติอังกฤษ

4. ทีมชาติอังกฤษ และ เซาท์เกต ได้ประสบการณ์เพิ่มเติม

หลังจบศึกยูโรครั้งนี้ เซาธ์เกต ยังคงได้เรียนรู้ในฐานะผู้จัดการทีมเช่นเดียวกัน โดยนายใหญ่วัย 50 ปี อาจอ้างได้ว่า เขาไม่เคยพาทีมเข้าชิงฯในระดับนานาชาติ แต่ โรแบร์โต้ มันชินี่ เทรนเนอร์อิตาลีก็ไม่เคยพาทีมชิงดำในระดับเมเจอร์เช่นกัน

เซาธ์เกต ทำงานของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจในยูโรครั้งนี้ โดยเฉพาะการปรับแท็คติคมาเป็น 3-4-3 ในเกมที่เอาชนะ เยอรมัน 2-0 และในเกมกับ อิตาลี ที่พวกเขาขึ้นนำไปก่อน แต่กลับสูยเสียแนวทางการเล่นจนโดนตีเสมอ

มันชินี่ ปรับแท็คติคด้วยการใช้กองกลาง 3 รายประกอบด้วย จอร์จินโญ่, นิโคโล่ บาเรลล่า และ มาร์โก แวร์รัตติ ชิงความได้เปรียบมิดฟิลด์อังกฤษ 2 รายอย่าง ฟิลลิปส์ และ ไรซ์ ซึ่ง เซาธ์เกต ก็แก้ทางด้วยการปรับมาใช้ระบบ 4-3-3 ทันที

เซาธ์เกต แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนมีฝีมือแต่บางทีการตัดสินใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างเลือกคนยิงจุดโทษนั้น เขาอาจคิดผิดไปโดยการให้นักเตะประสบการณ์น้อยอย่าง ซาก้า ยิงลูกสุดท้ายตัดสิน ซึ่งดาวรุ่ง อาร์เซน่อล ก็ซัดพลาด

อย่างไรก็ตาม เซาธ์เกต พาทีมมาไกลตามที่สามคมฟุตบอลอังกฤษตั้งเป้าไว้แล้ว โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 เกร็ก ไดค์ อดีตประธานเอฟเอ เคยกล่าวไว้ว่า “2 เป้าหมายที่ผมมีให้กับทีมชาติอังกฤษคือ 1.การไปถึงรอบรองชนะเลิศของยูโร 2020 และ 2. การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2022”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *